สะพายเป้ใบโต๊โต Go To ABC (Annapurna Base Camp) Episode
2
หลังจากที่ทุกคนติดตามการเดินทางจากช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว
2 วัน เราไปเดินทางกันต่อกับวันต่อๆไปกันนะคะ
Day 3 Drive
an hour to Nayapul (1,050 m./3,465 ft.) by private /local vehicle then trek to
Ulleri (1,850 m./6,105 ft.) 4 hours walking then stay there over
night at lodge.
มาถึงวันที่ 3
แล้วซินะนี่คือจุดเริ่มต้นของการ trekking
จริงๆ รถแวนคันเล็กมารับเรา 7 โมงเช้าหน้าที่พัก
แต่ก่อนนั้นเราจะต้องแยกกกระเป๋าฝากไว้ที่พักบางส่วน เราจะเอาเสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นสำหรับการขึ้นไปเดินบนนั้น
ถามว่าจริงๆเราอยากจะเอาไปทั้งหมดอะนะแต่ลูกหาบเรามีแค่คนเดียวเค้าต้องแบกของเรา 3
คน เราก็เห็นใจเค้าอะนะ ของที่เราฝากไว้ที่โรงแรมไม่มีหายแน่นอนปลอดภัยหายห่วง
แล้วเราก็ออกเดินทางกันด้วยรถเก๋งคันเล็กที่สามารถนั่งอัดกันได้ 6 คน รวมคนขับ
ด้วยระยะทางที่คดเคี้ยวและนานมากต้องนั่งอัดกระป๋องกัน
คุณๆก็ลองนึกดูว่ามันจะสนุกแค่ไหน ลงจากรถก็มีปวดหลังกันบ้างละ 55
ระหว่างทางที่จะเดินไปถึง Ulleri
เราก็ชมวิวทิวทัศน์กันไป
(ระหว่างทางเดินผ่านหมู่บ้านก็จะมีที่วางขายสินค้าพื้นเมืองของที่นี่)
(ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองมองดูภาพรวมแล้วก็สวยดีเหมือนกัน)
(ดอกอะไรไม่รู้แต่เห็นว่าสวยดี สีแดงสดตัดกับพื้นหลังสีขาว สวยดี)
Day 4
Trek to Ghorepani (2,800 m./9,240 ft.) 5 hours walking then stay there over
night at lodge.
วันที่ 4
ของการเดินทาง เราก็ยังชิวๆอยู่ อากาศก็ไม่ร้อนมากเท่าไหร่ แต่ uv
จัดมาก
เราเลยต้องใส่หมวกป้องกันซะหน่อยไม่งั้นดำแน่นอน
ช่วงนี้เรายังไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่
ถ่ายรูปประปลายเพราะเป็นเส้นทางที่เราเคยเดินเมื่อปีที่แล้วเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่
จริงๆเส้นทาง ABC
สามารถเดินไปได้หลายเส้นทาง ที่เราเลือกเดินผ่าน Poon hil
เพราะเราอยากขึ้นไปข้างบนอีกปีที่แล้วเราไม่เห็นทิวทัศน์บนนั้นสภาพอากาศไม่ดี
เราก็ได้แต่หลังว่าสภาพอากาศปีนี้ที่เรามาจะทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์บนนั้น
เส้นทางช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่เราต้องเดินขึ้นๆ แล้วก็ขึ้นอย่างเดียว
ต้านแรงโน้มถ่วงโลกมาก รู้สึกถึงการเดิน 2 วัน ต้นขากระชับขึ้นมากเลย อิๆ ระหว่างทางที่เดินในช่วงเช้าอากาศร้อนอบอ้าว
อยู่ดีๆช่วงบ่ายที่เราเดินเข้าป่าเมฆสีดำก็คล้อยมา จากฟ้าที่เคยสว่างสดใส
กลายเป็นสีดำทมึน ไกด์ของเราก็บอกให้รีบเดินเพราะอีกประมาณ 45
นาทีกว่าเราจะถึงที่พัก แต่แล้วเหตุการณ์คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อฝนเริ่มตกปรอยๆ
เอาหละซิชุดกันฝนก็ไม่มีมันอยู่ในกระเป๋าที่ลูกหาบแบกแล้วเค้าก็ไปก่อนเราซะแล้ว 3
สาวมองตากันปริบๆ เหนื่อยก็เหนื่อยยังจะมาเจอฝนอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เราใส่เสื้อผ้าบางเหลือเกินเพราะช่วงเช้าอากาศร้อน
และแล้วก็มีสิ่งเล็กๆตกลงมาที่ใบหน้าเพื่อนเราคนหนึ่งบอกว่าอุ๊ยฝนตกมีดอกไม้เล็กๆตกลงมาด้วย
ทันใดนั้นไกด์ของเราก็หันมาบอกว่า “ No, this is snow” “Hurry up” “Jump
Jump”
ตายละหว่าไม่ได้ยินคำนี้เลย แล้วหิมะก็ตกลงมาพร้อมกับฝน
วินาทีนั้นบอกได้คำเดียวว่า หนาวมาก สภาพที่ตัวเปียกปอน ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อกันฝน
หิมะตกอีก แล้วยังต้องเดินขึ้น ขึ้น ไปห้ามหยุดเพราะหยุดหนาวตายแน่ ทางก็มืด
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองอาจจะตายแล้วคิดถึงบ้านมากๆ อยากจะร้องได้แต่ร้องไม่ได้
มันเป็นอะไรที่ฝึกความอดทนของเราที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่อยู่ใกล้ความตายมากๆ
เพราะเริ่มหายใจติดขัด
มือเริ่มแข็งแต่ก็ต้องเดินเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายเอาไว้
เป็นอีกบททดสอบจริงๆสำหรับทริปนี้
(ระหว่างทางก็แวะชมนำ้ตก ปีที่แล้วเรามายังไม่มีเหล็กกั้นเลยเห็นไกด์บอกว่า 5 เดือนที่แล้วมีนักท่องเที่ยวกระโดดลงนำ้ขาหักเค้าเลยเอาเหล็กมากั้นไม่ให้ลงไปจำได้ว่าทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติของปีที่แล้วสวยกว่านี้นะ เสียดายมามีปฏิมากรรมมนุษย์ซะงั้นเพราะฝีมือมนุษย์นั่นเอง 55)
(มีทั้งช่วงที่เดินขึ้นและเดินลงแต่เราชอบจังเวลาเดินลงเนี่ย)
(เห็นม้าไวอยู่บนเขาเลยขอซักภาพ)
(หิมะเริ่มตกเราถ่ายจากหน้าต่างที่พักหลังจากผ่านช่วงที่เลวร้ายมา หมอกขาวเต็มไปหมด)
Day 5
Wake up early morning tea/coffee then climb 45 minutes to Poon hill (3,210
m./10,593 ft.) just with day back and well equipped to see the sunrise
and panoramic view of Annapurana, Dhaulagiri, Fishtail and other Himalayas with
drinking hot tea/coffee then climb back to same hotel, after breakfast trek to
Tadapani (2,650 m./8,745 ft.) 5 hours walking then stay there over
night at lodge.
เข้าสู่วันที่
5 หลังจากคืนที่เหน็บหนาวพอเรามาถึงพี่พักหิมะก็ตกหนักมากหลังคาขาวโพลนไปด้วยหิมะ
เราถามไกด์ว่าพรุ่งนี้เราจะได้เห็นทิวทัศน์บน Poon hill มั๊ย
ไกด์บอกว่าฟ้าหลังฝน วันนี้ฝนตกหนักพรุ่งนี้เช้าท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง
เฮ้ออย่างน้อยบนความโชคร้ายก็ยังไม่ความโชคดี เราต้องตื่นตี 5 เพื่อจะเดินขึ้นไปบน
Poon hill เพราะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีกว่าจะเดินไปถึง
เราจำเป็นต้องใช้ไฟฉายติดตัวไปด้วยเพราะทางจะมืดมาก
ถ้าไม่ได้เอาไปจริงๆก็อาศัยแสงจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ 55
เพราะมันจะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะต้องเดินขึ้นไปเพื่อชมทิวทัศน์ข้างบน
เดินขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ยแถมตี 5 ยังสลึมสลืออยู่เลย
แต่ก็ต้องไปเพราะอยากเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามนี่นา
ระหว่างทางเดินไปเรื่อยๆก็เริ่มสว่างสองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะ ว๊าวๆๆ สวยมากเลย
ที่เมืองไทยไม่มีแบบนี้นะเนี่ย
ถือว่ามาครั้งนี้ก็โชคดีที่สุดแล้วอย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นหิมะถึงแม้เราอาจจะขึ้นไปมองไม่เห็นทิวทัศน์เลยก็ตาม
ที่จุดชมวิวก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจุดประสงค์เดียวกัน
บางคนตั้งกล้องกันเป็นมืออาชีพเลยทีเดียว ระหว่างที่รอฟ้าเปิด ก็จะมีหลายๆที่ไปถ่ายรูปกับป้ายแสดงถึงการมาถึง
Poon hill เป็นจุดยอดนิยมจริงๆขนาดเราไปครั้งที่ 2 ก็ไม่วายจะขอแชะซักภาพ
เอาความฟินไว้ก่อน
ทิวทัศน์ที่สวยงามก็พอมองเห็นบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ยังดีกว่าปีที่แล้วที่ไม่เห็นอะไรเลย
ขากลับเดินลงซิคะ บางช่วงหิมะละลายพื้นก็มีแฉะบ้าง แต่ก็ชิวๆเดินไปด้วยถ่ายรูปไปด้วย
เล่นหิมะไปด้วย ฟินฝุด ขอบคุณที่หิมะตกน้า (ถึงแม้จะผ่านช่วงเลวร้ายมา)
ก็คุ้มและหายเหนื่อยจริงๆ
(ข้างทางหลังจากที่หิมะตกเมื่อคืน)
(ใกล้จะถึงแล้วนั่นไงจุดชมวิว Poon hill)
(และแล้วเราก็มาถึงพี่ใหญ่ของเราขอแชะก่อนเลย)
(ก่อนกลับซักภาพหนาวจริงๆ)
(หิมะบนดอกไม้ก็สวยไปอีกแบบ ฟินอะ)